วันนี้ ผมขอนำความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือทางการบริหารที่องค์กรทั้งหลายทั้งในและนอกประเทศ ได้ให้ความสนใจมาแบ่งปันพี่ๆน้องๆ ใน
เวปบอร์ดของเรา เผื่อใครที่ได้มีโอกาสนำไปใช้ในการทำงานหรือการเรียน จะได้นำไปใช้ได้ หรือรู้ไว้เพื่อประดับบารมีเผื่อมีโอกาสได้ไปพูดคุยกับผู้อื่น
ซึ่งเครื่องมือที่ผมจะนำมา Share ในวันนี้ได้แก่ Balance Scorecard หรือเรียกสั้นๆว่า BSC
Balance Scorecard คืออะไร? Balance Scorecard เป็นเครื่องมือในการวัด(measure) ชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้ในการวัดความ
สามารถในการแข่งขันและ/หรือประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กร BSC ถูกพัฒนาขึ้นโดย David Norton และ Robert Kaplan โดย
พัฒนาขึ้นจากการประเมินผลทางด้านการเงิน ซึ่งในการประเมินแต่เดิมนั้น เราใช้ดัชนีชี้วัด(Indicator)ด้านการเงินแต่เพียงอย่างเดียว ประมาณว่า
องค์กรไหนที่มีผลประกอบการดี มีกำไรเยอะ เราก็จะประเมินว่าองค์กรนั้นมีประสิทธิภาพในการบริหารงานที่ดีทำให้ผลประกอบการดีตามไปด้วย
Norton กับ Kaplan กลับมองว่า องค์กรที่มีประสิทธิภาพในการบริหารงานนั้น แท้จริงแล้วสามารถวัดจากการเงินได้อำย่างเดียวจริงหรือ จึงได้
พัฒนาเครื่องมือชนิดนี้ขึ้นมา โดยเราอาจจะเรียกสิ่งนี้ได้ว่าเป็น 4 Dimension ในการประเมินประสิทธิภาพในการบริหาร โดยจะให้ความสำคัญ
กับการประเมินผลรอบด้าน 4 มิติ ได้แก่
1.Finance Perspective หรือมุมมองด้านการเงิน
2.Internal Process Perspective มุมมองด้านกระบวนการภายใน
3.Customer Perspective มุมมองด้านลูกค้า
4.Learning & Growth Perspective มุมองด้านการเรียนรู้และนวัตกรมม
ทันทีที่แนวคิดนี้ถูกนำเสนอก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากบรรดานักบริหารทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่องค์กรในประเทศไทยเอง โดยจะเห็น
ได้จากผลการสำรวจเครื่องมือทางการบริหารที่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้ โดย BSC มาแรงเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่
Good Governance เท่านั้น โดยอยู่เหนือกว่าทั้ง Total Quality Mgt และ Benchmarking ทำไมต้อง BSC? ผมขอยกคำกล่าวของ
Charles Darwin ที่กล่าวเอาไว้ว่า“ It’s not the strongest species that survive, or the most intelligent, but the most
responsive to change. ” ซึ่งขอแปลเป็นไทยโดยพื้นฐานภาษาอังกฤษอันกระท่อนกระแท่นว่า “สายพันธ์ที่จะอยู่รอดได้นั้น หาใช่สายพันธ์ที่แข็ง
แกร่งหรือเฉลียวฉลาดไม่ หากแต่เป็นสายพันธ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดต่างหาก” พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ถึงจะ
มีแรงควายสมองคน แต่ถ้าไม่สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้ ก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ ซึ่งสามารถตอบโจทย์เรื่อง BSC ได้เป็นอย่างดี เพราะเดิม
การวัดประสิทธิภาพจากการเงินแต่เพียงอย่างเดียวนั้นสามารถบอกได้แต่เพียงว่า เมื่อวานและวันนี้ เรามีเงินมากน้อยเพียงไร แต่ไม่สามารถตอบได้ว่าวัน
พรุ่งนี้เราจะมีเงินเหลืออยู่เท่าใด พูดง่ายๆก็คือไม่สามารถตอบได้ว่าเราจะสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนหรือไม่
แล้ว BSC นี่มันวัดกันยังไง? If you can’t measure, you can’t managed ถ้าวัดไม่ได้ บริหารไม่ได้ If you can’t
measure, you can’t improved ถ้าวัดไม่ได้ ก็พัฒนาไม่ได้ What gets measure, gets done และ สิ่งไหนที่ได้รับการวัด สิ่งนั้นคนจะ
สนใจ BSC นั้นอย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นมันหมายถึงการวัดประสิทธิภาพในการบริหารองค์กร 4 Dimension/Perspective ซึ่งทั้ง 4
Perspective นั้นมีความเชื่อมโยงกันดังนี้
1.Finance LOOK BACK “To succeed financially, how should we appear to our shareholders?”
2.Internal Business Process LOOK OUTSIDE IN “To satisfy our shareholders & customers,
what business processes must we excel at?”
3.Customer LOOK INSIDE OUT “To achieve our vision, how should we appear to our customers?”
4.Innovation & Learning LOOK AHEAD “To achieve our vision, how will we sustain our ability
to change & improve?”
เห็นไหมครับ ว่า BSC นั้นประเมินประสิทธิภาพในการบริหารแบบครบวงจร คือมองทั้งอดีตที่ผ่านมา มองจากข้างนอกเข้ามาข้างใน มอง
จากข้างในออกไปข้างนอก และมองออกไปข้างหน้า ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม BSC ถึงได้เป็นที่นิยมขององค์กรต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน
BSC มีความสมดุลอย่างไร? ทีนี้ผมจะขอชี้ให้เห็นความสมดุลในการวัดแบบBSC ให้พี่ๆน้องได้เห็นจะๆกันไปเลยดังนี้
1. ความสมดุลระหว่างมุมมองด้านการเงินและด้านอื่น
2. ความสมดุลระหว่างมุมมองระยะสั้นและระยะยาว
3. ความสมดุลระหว่างมุมมองภายในและภายนอกองค์กร
4. ความสมดุลระหว่างการเพิ่มรายได้และการควบคุมต้นทุน
5. ความสมดุลระหว่างตัวชี้วัดที่เป็นเหตุ (Leading Indicators) และตัวชี้วัดที่เป็นผล (Lagging Indicators)
(ซึ่งตัวอย่าง ที่ผมกล่าวมาทั้ง 5 ถ้าได้เห็นแผนที่กลยุทธ์ หรือ Strategy Map จะช่วยให้เห็นภาพได้ดีขึ้น ถ้าต้องการตัวอย่าง กรุณาทิ้ง e-mail ไว้
นะครับ เดี๋ยวผมจะจัดส่งตัวอย่างไปให้ดู)
เพราะฉะนั้นเราจึงอาจกล่าวได้ว่า BSC คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการวัด ณ.เวลานี้ เพราะ BSC ที่ดีสามารถบอกเล่าเรื่องราวของกลยุทธ์ขององค์กร และ
ช่วยในการถ่ายทอดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ขององค์กรไปสู่การปฏิบัติได้ นอกจากนี้ยังมีการแปลง BSC ออกไปวัดประสิทธิภาพในการบริหารงานด้าน
ต่างๆอย่างแพร่หลาย และที่กำลังได้รับความสนใจกันอยู่ตอนนี้ก็ได้แก่การแปลง BSC ไปใช้ร่วมกับการบริหารทุนมนุษย์(Human Capital) ซึ่งเรา
เรียกมันว่า HR Scorecard ซึ่งไว้ถ้าผมมีโอกาส จะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไปนะครับ สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อนพร้อมคำคมที่ว่า “If your
actions inspire others to dream more, learn more, do more and become more, you are a leader”
อยากทราบดังนี้ครับว่า
1. leading & lagging indicator ที่คุณกล่าวไว้ข้างต้นหมายถึงอย่างไรครับ ช่วยยกตัวอย่างให้ด้วยครับ
2. การทำ BSC นั้นจะวัดผลอย่างไร ต้องมีทำ KPI ด้วยหรือไม่อย่างไรครับ เพราะ KPIก็มีวัดผลเหมือนกัน จะเป็นการซ้ำซ้อนหรือไม่
ขอ e-mail ด้วยครับ จะส่งตัวอย่างไปให้
ขอบคุณค่ะ {icon4}
รบกวนทิ้ง e-mail ไว้ด้วยครับ จะได้ส่งไปให้
Boysicky
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ขอบคุณค่ะ
ขอด่วนเลยนะครับ
boydjang@hotmail.com
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ขอตัวอย่างการทำBSC ด้วยคน..รบกวนส่งให้หน่อยนะค่ะอยากรู้ว่าทำอย่างไรค่ะ...ขอบคุณมากๆๆค่ะ
alischag@hotmail.com
ส่งให้หน่อยนะคะ aym.ymmy@hotmail.com